วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น...ขยันซอย (มาทีละตอน)

ชั้น 3 ขบวน 4

“ที่รัก ผมคงต้องกลับใต้สักพักนะ เผื่อได้เงินสักก้อนมาลงทุน”



“แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”


“วันนี้แหละ”


“ทำไรก็ทำเหอะ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ นะ มันดูไร้ค่า ทีหอยมันไม่มีมือตีน ยังเอาตัวรอดได้เลย”


“ขอบคุณนะ สำหรับกำลังใจ ถึงบ้านแล้วจะโทรหา”


“แล้วเจอกัน บายจ้ะ”


เต็มสิบวางหู แล้วจับโทรศัพท์มือถือโนเกียเก่า ๆ พรวดใส่กระเป๋ากางเกงยีน เขาเหลียวซ้ายแลขวาหาที่นั่งเหมาะ ๆ


เพื่อตั้งหลัก เพราะกว่ารถไฟขบวนต่อไปจะมาถึงคงต้องใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง เดินไปพลางสายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ ชานชาลา เห็นแสงแดดยามบ่ายที่สาดใส่โลมเลียทุ่งหญ้ารอบ ๆ สถานีรถไฟบางซื่ออย่างไม่ปราณี ราวกับจะแผดเผาให้ดาวดิ้น ทะเลเพลิงสีน้ำตาลไหม้ลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง ไม่ต่างจากความโหดร้ายของพิษวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่กำลังคร่าลมหายใจคนทั่วโลกอย่างไร้เยื่อใย รังสีความโหดร้ายของมันเผื่อแผ่ไปทั่วไม่ละเว้นแม่แต่ประเทศเกษตรกรรมเล็ก ๆ ที่บ้าคลั่งอย่างเป็นเอกทางอุตสาหกรรมอย่างเมืองไทย องค์กรใหญ่ ๆ ต้องรัดเข็มขัดประหยัดเงิน พร้อมกับถีบหัวส่งคนงานที่ไม่จำเป็นออก องค์กรเล็ก ๆ พากันปิดกิจการต้อนรับการมาเยือนของวิกฤตสุดโหด บริษัทเล็ก ๆ ที่เต็มสิบทำงานอยู่ก็หนีไม่พ้น เขาได้รับคะแนนโหวตเต็มสิบให้ออกจากงาน ด้วยเหตุผลยอดฮิตเพราะพิษเศรษฐกิจ บริษัทแบกภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว เต็มสิบกลายเป็นคนจนตรอก ที่พร้อมจะถอยหลังเข้าคลองได้ทุกเมื่อ






เก้าอี้สำหรับผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งถูกจัดไว้ใต้อาคารเล็ก ๆ ทอดยาวระหว่างชานชาลาที่ 1 กับ 2 มีหลังคากับเสาเพื่อกันแดดฝน ทั้งหมดถูกไว้เป็นแถวแถวละ 3 ตัว วางอย่างเป็นระเบียบตลอดอาคาร ราวกับกองทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี หลายแถวถูกจับจองโดยผู้มาก่อนกลุ่มใหญ่ หลายแถวมีคนนั่งประปราย เต็มสิบข้ามทางรถไฟแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวว่างใกล้สุด พลางวางเป้สะพายหลังไว้บนเก้าอี้ตัวกลาง พร้อมเงี่ยหูฟังเสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียง แว่ว ๆ เหมือนสำเนียงมนุษย์ต่างดาวพูดในหนังซึ่งฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหนุ่มสาวชาวประชาสัมพันธ์ไปแล้ว จะในห้าง โรงหนัง สนามบิน สายใต้หมอชิต หรือแม้แต่สถานีรถไฟก็เหมือนกันหมด แต่อย่างน้อย ๆก็พอจับใจความได้ว่ารถไฟขบวน 035 กรุงเทพฯ – สุไหงโกลก ที่เขาต้องฝากร่างกายอันห่อเหี่ยวกับใจแสนหดหู่ไปด้วยนั้น มีอันต้องล่าช้าไปร่วมสองชั่วโมง


“หมึกย่าง หมูย่าง ไก่ย่าง ข้าวเหนียวร้อน ๆ จ้า” เสียงแม่ค้าคนหนึ่งร้องเรียกอย่างคมจัดชัดเจนเสียยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เ


พื่อให้ผู้คนสนใจสินค้า เธอแบกถาดใบใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยของกินตามที่เธอโฆษณาเดินมาทางเขา


“หมึกย่าง หมูย่าง ไก่ย่าง ข้างเหนียวร้อน ๆ จ้า พ่อหนุ่ม ทุกอย่างสิบบาทเองจ้ะ”


“รับอะไรดีจ้ะ” เธอเริ่มเร่งเร้าด้วยฝีปาก กดดันด้วยอารมณ์และคาดหวังอย่างรุนแรงให้เขาอุดหนุน


“ไม่ครับ ผมไม่หิว” เต็มสิบตอบอย่างไม่ค่อยเต็มปาก แต่เพียงพอที่จะทำให้แม้ค้าเดินผ่านเขาด้วยความหงุดหงิดไปยังกลุ่มผู้โดยสารกลุ่มใหญ่กว่า






เต็มสิบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ มือก็คว้าเอาขวดน้ำที่พกมากับเป้ยกขึ้นซดประทังความอยาก จริง ๆ แล้วเขาทานมื้อเช้ามาเรียบร้อย แต่ถ้าได้ข้าวเหนียวไก่ย่างสักหน่อยคงพอช่วยทดแทนความหิวเล็ก ๆ และฆาตกรรมเวลาที่เขาต้องนั่งรอรถไฟอีกพักใหญ่ได้เป็นอย่างดี แต่เงินที่เหลือติดตัวแค่ร้อยกว่าบาทบังคับให้เขาต้องกล้ำกลืนน้ำเปล่าแทนไปก่อน เพราะกว่ารถไฟจะถึงพัทลุงบ้านเกิด จังหวัดเล็ก ๆ ที่ดังกระฉ่อนได้เพราะปลากระป๋องเน่า ต้องใช้เวลาอีกกว่า 12 – 15 ชั่วโมง ที่สำคัญข้าวผัดกระเพรา ข้าวต้มร้อน ๆ ระหว่างทางกับค่ารถโดยสารกลับบ้าน มันตีตราจองเศษเงินก้อนนี้เสียแล้ว


“ถ้าที่รักทำงานมั่นคงแล้ว....เราหาตังค์สักก้อนแต่งงานกันนะ”


“ผมก็ตั้งใจไว้แล้วล่ะ คราวนี้คงถึงเวลาสักทีเนอะ”


เต็มสิบนึกย้อนไปถึงบทสนทนากับแฟนสาวในร้านอาหารแห่งหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน ทั้งสองคบกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เป็นเพื่อนกัน ไปไหนไปกัน เต็มสิบติดใจนิสัยห้าว ๆ แมน ๆ และจิตใจที่แสนดีของเพื่อนสาว ท้ายที่สุดเลยกลายมาเป็นแฟนกัน คบกันมากว่า 8-9 ปีแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เต็มสิบทำให้แฟนสาวของเขาผิดหวัง เคยตกงาน ลาออกมาทำธุรกิจเล็ก ๆ แต่ก็ไม่เป็นผล และการทำงานครั้งล่าสุดก็ลงเอยด้วยการโดนเชิญออก


ด้วยความที่เป็นคนช่างฝัน แต่ไม่เคยได้ทำตามฝัน มัวแต่ตั้งมั่นกับการทำตามเป้าหมาย ส่งผลให้เต็มสิบในวัยสามสิบ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย การกลับบ้านหนนี้เขาหวังว่าสวนยางที่บ้านที่มีอยู่น้อยนิด น่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสักก้อนสำหรับลงทุนทำอะไรซักอย่างในภาวะเศรษฐกิจเอาแต่ใจอย่างนี้ได้บ้าง



ลมร้อนพัดมาแผ่ว ๆ เหมือนมีปากที่มองไม่เห็นเป่าออกมาพุ่งตรงเข้ากระทบใบหน้าจนเขาต้องเอามือมาปัดลูบเพื่อบรรเทาความอบอ้าว ช่วยดึงสติของเต็มสิบกลับมายังเก้าอี้ที่พักผู้โดยสาร นาฬิกาเรือนใหญ่ที่ชานชาลาบอกว่าอีกชั่วโมงกว่ารถไฟจะนวยนาดมาถึง เขาจึงตัดสินใจทรุดตัวลงบนเป้แล้วงีบหลับไปเพื่อปล่อยให้เวลาทำงานของมัน






“ตึ่ง ตึ๊ง ตึง ตี่ง ท่านผู้โดยสารที่กำลังจะเดินทางด้วยขบวนรถด่วนพิเศษขบวนที่ 035 กรุงเทพฯ – สุไหงโกลก ขณะนี้รถกำลังเข้าสู่สถานีแล้ว กรุณาเตรียมสัมภารระของท่านให้พร้อม รถจะจอดที่สถานี 3 นาทีขอบคุณครับ” เสียงเครื่องกระจายเสียงดังสองสามรอบ วิ่งตรงมาปลุกเขาให้ตื่น เต็มสิบรีบทะลึ่งลุกขึ้นยืน มือคว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง มองดูความเคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัว เจ้าหน้าชุดหนึ่งออกมาเตรียมพร้อมอย่างรู้งานเพื่อขนสัมภาระขึ้นรถ ผู้โดยสารต่างคนต่างเก็บข้าวของเพื่อให้พร้อมเดินทางทันทีที่รถไฟจอดที่ชานชาลา หญิงชายคู่หนึ่งเดินมาหยุด


ข้าง ๆ เขา ทั้งคู่แต่งกายภูมิฐาน มีกระเป๋าคนละใบ สวมเสื้อแจ๊คเก็ตราวกับว่าที่นั่นหนาวเสียเต็มประดา เต็มสิบแอบขำในใจ


“คุณไปขบวนไหน ชั้นไหนครับ” ชายหนุ่มที่มากับหญิงสาวถาม


“เอ่อ” เต็มสิบหยิบตั๋วขึ้นมาดู “ของผมชั้นสาม ขบวนที่สี่ครับ”


“ของเราปรับอากาศชั้นสอง ขบวนที่ 1 ค่ะ ต้องรอแถวไหน ๆ คะ” คราวนี้หญิงสาวถามบ้าง


“แถวนี้สำหรับชั้นสามครับ ของพวกคุณคงต้องเดินไปอีกหน่อย รึไม่ก็ลองถามเจ้าหน้าที่ดีกว่าครับ”


“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อม ๆ กับชายหนุ่มที่พยักหน้าแทนคำขอบคุณ แล้วจูงมือกันเดินจากไป


เต็มสิบไม่ค่อยแน่ใจ เพราะเขาเองก็ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้รถไฟไทย ช่วงไหนล่ำซำหน่อยก็บินกลับบ้านพร้อมสาวไฮโซมาดปราดเปรียวแป๊บเดียวถึงอย่างสายการบิ


นต้นทุนต่ำที่ขณะนี้ทุกสายต้องหยุดพักจนแทบลืมไปแล้วว่าบินกันยังไง ถี่หน่อยก็ใช้บริการของสาวสวยใส ไปทุกที่มีข้าวเลี้ยงของรถทัวร์ทุก ๆ ปี จะหันมามองสาวใหญ่ใจดีอย่างรถไฟสักทีก็แล้วแต่โอกาสอำนวย เช่นอยากนั่งรถไฟชมวิว ส่วนใหญ่จะนั่งรถนอนไป เบื่อนั่งก็นอนได้ ไม่เหมือนครั้งนี้ ที่ตัดสินใจได้ทันทีว่าชั้นสามเท่านั้นเป็นคำตอบสุดท้าย




....รออ่านต่อตอนต่อไปเน่อ...

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก